Shanghai, China – 05:52 PM.
KVW CORP.
เม็ดฝนโปรยปรายจากฟ้าสู่ดิน
ร่วมสามชั่วโมงแล้วที่ร่างบางผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนและนัยน์ตาสุกใสแสนไร้เดียงสาติดแหงกอยู่ในตึกสูงระฟ้า
ลู่หาน ถอนหายใจเป็นครั้งที่ห้า นอกจากแผนการเซอร์ไพรส์
คุณป๋า จะล้มเหลวไม่เป็นท่า
ตัวเองยังต้องมานั่งเหงาเพราะติดฝนจนออกไปเดินเที่ยวที่ไหนไม่ได้อีกต่างหาก
จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกมั้ยนะ
ร่างน้อยคิดในใจ
ยิ่งเมื่อเห็นไอน้ำที่พร่างพราวอยู่บนบานกระจกขนาดใหญ่แล้วก็ได้แต่ภาวนาขอให้ฝนหยุดตกเสียที
อุตส่าห์คิดว่ากลับมาจากอเมริกาคราวนี้จะมีแต่เรื่องดีๆ ที่ไหนได้ดันโชคร้ายตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม
“คุณหนู
ทานของว่างหรือดื่มอะไรสักหน่อยดีมั้ยคะ คงอีกนานเลยกว่าท่านประธานจะประชุมเสร็จ”
“อืม...ไม่ดีกว่าฮะ
พอดีลู่พกคุกกี้นมสดติดกระเป๋ามาด้วย”
เอ่ยปฏิเสธพนักงานสาวแผนกประชาสัมพันธ์อย่างมีมารยาทพลางส่งยิ้มที่ทำเอาคนมองใจสั่นกันถ้วนหน้าเป็นการปิดท้าย
กระทั่งเวลาล่วงเลยจวนครบสองชั่วโมง ห่าฝนที่เคยเทกระหน่ำราวพายุเข้าก็ค่อยๆอ่อนกำลังลงทว่ายังคงไม่หยุดสร้างความชุ่มฉ่ำให้แก่พื้นดิน
เช่นเดียวกันกับแสงสีส้มของพระอาทิตย์ดวงกลมที่เริ่มคล้อยไปจากขอบฟ้าด้วยเพราะหน้าที่ของมันกำลังจะจบลงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าแล้ว
ทิ้งลู่หานกันหมดเลย
ฮึก
“คุณหนู
กลับไปรอที่บ้านดีกว่ามั้ยครับ เดี๋ยวผมให้คนขับรถไปส่ง”
คิม
จงแด เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าแก้วตาดวงใจของเจ้านายกำลังสัปหงกอยู่กับกระเป๋าเป้ใบสีขาวครีมบนตักเล็ก
ที่จริงเวลานี้เขาควรเป็นหนึ่งในบุคคลที่กำลังเคร่งเครียดกับหัวข้อสนทนาที่ว่าด้วยเรื่องงบประมาณและโปรดักส์ตัวใหม่ของบริษัทที่มีกำหนดการเปิดตัวปลายปีนี้
แต่พอท่านประธานทราบเรื่องจากฮยอนอา
ประชาสัมพันธ์สาวสวยประจำบริษัทว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมานั่งรออยู่ที่ล็อบบี้เพราะมีแผนจะเซอร์ไพรส์ก็รีบบอกให้เขาลงมาดูเพราะไม่สามารถปลีกตัวออกมาเองได้
ไม่ใช่ว่าเห็นงานสำคัญกว่า แต่เพราะท่านรู้ดีว่าคุณหนูลู่หานไม่ใช่เด็กงี่เง่าเอาแต่ใจ
“ไม่เอาฮะ
ลู่จะกลับพร้อมคุณป๋า”
ยกเว้นตอนที่เธอกำลังง่วง...
“การประชุมคงใช้เวลาอีกนาน
ท่านประธานไม่อยากให้คุณหนู...”
“ถึงดึกลู่ก็จะรอ
กลับไปตอนนี้ก็ต้องอยู่คนเดียว ลู่เหงา”
เลขาหนุ่มลอบยิ้มให้กับอาการงอแงที่สุดแสนจะน่ารักน่าเอ็นดูของคุณหนูแก้มแดงก่อนจะยอบกายลงกระทั่งใบหน้าเสมอกับคนตัวเล็ก
“งั้นไปหาอะไรทานที่คาเฟ่ต์ข้างๆบริษัทก่อนดีมั้ยครับ
เดี๋ยวผมพาไป” ดูเหมือนว่าข้อเสนอนั้นจะน่าสนใจอยู่ไม่น้อย
ร่างเล็กถึงได้ยอมเงยหน้าขึ้นมาจากกระเป๋าเป้แล้วกะพริบตามองคุณเลขาใจดีปริบๆ
คุณหนูลู่หานของเขาเคยน่ารักยังไงก็ยังน่ารักอย่างนั้นไม่เคยเปลี่ยน
สดใสร่าเริง จิตใจดี มีเมตตาแบะอ่อนต่อโลกจนบางทีก็น่าเป็นห่วงว่าจะถูกใครหลอกเอาได้ง่ายๆ
“อ๊ะ
คุณจงแด เดี๋ยวก่อนฮะ” แว่วเสียงใสเอ่ยรั้งคุณเลขาที่เดินนำอยู่ด้านหน้าพลางเพ่งพินิจมองสิ่งมีชีวิตตัวสีขาวที่นอนสั่นอยู่กลางลานกว้าง
“นั่นลูกแมวนี่นา”
“หืม
ลูกแมวเหรอครับ?”
“ขอยืมร่มของคุณจงแดหน่อยสิครับ”
ร้องขอทั้งที่สายตาจะยังไม่ละออกไปจากเจ้าตัวขนที่กำลังนอนขดตัวอยู่ท่ามกลางสายฝน
กระทั่งร่มสีแดงคันใหญ่ของคุณเลขาถูกส่งต่อให้ฝ่ามือบาง
ร่างน้อยไม่รอช้ารีบวิ่งออกไปยังลานกว้างก่อนจะย่อตัวลงตรงหน้าลูกแมวตัวสีขาวที่กำลังหนาวสั่นอย่างน่าสงสาร
“เจ้าเหมียว
ทำไมมานอนตรงนี้ล่ะ”
กระจับปากเล็กเอ่ยถามซ้ำยังทำหน้าสงสัยแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าคงไม่ได้คำตอบ
นั่งสบตากันท่ามกลางเม็ดฝนที่กำลังโปรยปรายอย่างเบาบางอยู่อีกไม่นานร่างน้อยก็ตัดสินใจช้อนเจ้าเหมียวคนสีขาวแสนมอมแมมขึ้นในอ้อมแขนเล็ก
กกกอดไว้กับแผ่นอกบางโดยไม่นึกรังเกียจคราบสกปรกบนขนที่อาจจะทำให้เสื้อเชิ้ตสีขาวราคาแพงของตัวเองเปรอะเปื้อน
“คุณจงแด
ลู่อยากได้ผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ที่ล็อบบี้บริษัทพอจะมีมั้ยครับ”
“ถ้าเป็นผืนเล็กๆก็น่าจะมีนะครับ
เอ่อ แล้วคุณหนูไม่ไปคาเฟ่ต์แล้วเหรอครับ”
“ไม่ฮะ
ลู่จะอยู่เช็ดตัวให้เจ้าเหมียวที่บริษัท คุณจงแดไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนนะฮะ
กลับขึ้นไปประชุมได้เลย”
เอ่ยกับคุณเลขาที่กำลังทำหน้างงเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบริษัทโดยไม่ลืมคืนร่มคันใหญ่สีแดงในมือให้ผู้เป็นเจ้าของ
ร่างน้อยในชุดเอี๊ยมยีนส์ฟอกสีรับผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กมาจากคุณป้าแม่บ้านแล้วคลุมลงบนเจ้าเหมียวตัวเล็กบนตักอุ่นที่ถูกปูคลุมด้วยผ้าขนหนูอีกผืน
“เดี๋ยวเช็ดตัวเสร็จแล้วกลับบ้านกับเรานะ
เราจะเลี้ยงเจ้าเหมียวเอง”
พูดพลางใช้ผ้านุ่มๆซับขนสีขาวที่เปียกลู่ตั้งแต่หูจรดหางสลับกับการเกาคางอย่างเอาอกเอาใจ
เจ้าเหมียวดูเหนื่อยอ่อน ไม่หือไม่อือกับอะไรทั้งสิ้น
จับตรงไหนก็นิ่งจนลู่หานเริ่มไม่แน่ใจว่าตกลงมันเชื่องหรือมันป่วยกันแน่
เอ...หรือบางทีอาจจะทั้งสอง?
“เจ้าเหมียวป่วยแน่ๆเลย”
“เหมี๊ยว”
เจ้าเหมียวครางรับเสียงอ่อน
เล่นเอาคนที่ทรุดนั่งอยู่บนพื้นพรมถึงกับหน้าถอดสี
หันมองรอบกายไม่พบใครที่พอจะขอความช่วยเหลือได้ก็ลอบถอนหายใจพรืดด้วยเพราะคิดไม่ตก
ลู่หานจะทำยังไงดี รู้แบบนี้บอกให้คุณจงแดอยู่เป็นเพื่อนเสียก็ดี
แล้วแบบนี้ใครจะพาเจ้าเหมียวไปหาหมอล่ะ
ลู่หานย้ายไปเรียนที่อเมริกาตั้งแต่ 7 ขวบ
เพราะงั้นตอนนี้อย่าว่าแต่โรงพยาบาลหรือคลินิกสัตว์เลย
แค่ทางกลับบ้านเขาก็ยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ
แย่แล้ว
ฮึก
“ตัวเล็ก”
สุ้มเสียงเข้มที่เอ่ยเรียกใครสักคนด้วยสรรพนามน่ารักน่าเอ็นดูแว่วเข้าโสตประสาทของเด็กน้อยในชุดเอี๊ยมที่กำลังนั่งจุมปุ๊กอยู่บนพื้น
แน่นอนว่าลู่หานไม่ได้สนใจ
มือเล็กยังคงใช้ผ้าขนหนูขยี้ๆขนให้เจ้าเหมียวอยู่เช่นนั้นกระทั่งเงาสูงใหญ่ราวไททันเกราะคลืบคลานเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
และลู่หานคงจะเมินผ่านมันไปหากว่าปลายรองเท้าหนังแก้วคู่สวยไม่หยุดนิ่งลงข้างตักเล็ก
แก้วตาหวานช้อนมองเจ้าของเงาสีดำที่คลุมทับอยู่บนร่างของตัวเองด้วยใบหน้าฉงน
“คุณเรียกเราเหรอ” กลีบปากสีระเรื่อเอ่ยถามคนตัวสูงด้วยสรรพนามที่สุดแสนจะขัดกัน
ลู่หานชินกับการเรียกแทนตัวเองว่า
เรา และติดปากกับการเรียกแทนคู่สนทนาว่า คุณ ถ้าสนิทกันในระดับหนึ่งจะเป็นคุณและตามด้วยชื่อ
(เหมือนคุณเลขาจงแด) แต่ถ้ารู้จักเพียงผิวเผินก็คุณห้วนๆ
“ครับ
เรานั่นแหละ”
คนแปลกหน้าตอบพลางระบายยิ้มในแบบที่ทำให้ร่างน้อยรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ทำไมไม่ขึ้นมานั่งบนโซฟาดีๆล่ะครับ ลงไปนั่งบนพื้นทำไม”
“เจ้าเหมียวตัวเปียก
เดี๋ยวโซฟาเลอะฮะ”
“หืม เจ้าเหมียว?”
เรียวคิ้วเข้มเลิกมองสิ่งมีชีวิตตัวเล็กบกตักเล็กที่กำลังซุกตัวอยู่ใต้ผ้าขนหนูผืนสีขาวก่อนจะครางรับในลำคอ
ร่างสูงลอบมองเสี้ยวหน้าหวานละมุนของเด็กผู้ชายตัวเล็กที่ดูแล้วน่าจะยังอายุไม่ถึง 15 ปีดีก่อนจะแต้มยิ้มบางเบาบนริมฝีปาก
ท่าทางกระตือรือร้นในการเช็ดตัวให้เจ้าลูกแมวจรจัดแบบนั้น...
...น่ารัก...
ในหัวของ
เซฮุน รีเพลย์คำนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แววตาไร้เดียงสารวมถึงกระจับปากสีระเรื่อที่เปล่งเสียงหวานๆได้อย่างน่าเอ็นดูของร่างเล็กช่างเป็นอะไรที่สะกดสายตาและตรึงความประทับใจของเขาไว้ได้อย่างอยู่หมัดตั้งแต่แรกเห็น
“เอ่อ...คุณฮะ”
รองประธานหนุ่มสะดุ้งหลุดจากภวังค์เมื่อถูกเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนแสนน่ารักเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
นัยน์ตาสีนิลคู่คมมองสบกับแก้วตาหวานใสพลางเลิกคิ้วน้อยๆแทนการเอ่ยถาม
“คุณพอจะรู้จักโรงพยาบาลหรือคลินิกสัตว์บ้างมั้ยฮะ”
คุณป๋าเคยบอกว่าลู่หานเป็นเด็กดี
ไม่ดื้อไม่ซน...
แล้วถ้าคุณป๋ารู้ว่าลู่หานนั่งรถออกมากับคนแปลกหน้า คุณป๋าจะโกรธแล้วกลายร่างเป็นยักษ์ไททันมั้ยนะ?
ร่างน้อยได้แต่คิดทบทวนการกระทำของตัวเองด้วยความเป็นกังวลในขณะที่รถยนต์คันสวยยังคงติดแหงกอยู่ตรงแยกไฟแดงท่ามกลางสภาพจราจรที่ติดขัด
นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มคู่สวยชำเลืองมองคนตัวสูงที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับสลับกับเจ้าเหมียวจรจัดบนตักเล็กพลางขมวดคิ้วมุ่นด้วยทั้งคิดไม่ตกและนึกโมโหตัวเองที่ทำอะไรโดยไม่ตัดสินใจให้รอบคอบดีเสียก่อน
แค่เพราะอีกฝ่ายดูท่าทางใจดี ลู่หานก็เลยไม่ลังเลที่จะขึ้นรถมาด้วยกันแบบนี้
ลู่หานเป็นห่วงเจ้าเหมียวจนลืมคิดถึงความปลอดภัยของตัวเอง
“พี่ดูไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
แล้วก็เป็นคนตัวสูงที่เลือกจะทำลายความเงียบอันนำพามาซึ่งบรรยากาศน่าอึดอัดโดยการเอ่ยถามเด็กตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆกัน
เซฮุนสังเกตมาได้สักพักแล้วว่าน้องดูเป็นกังวล
บางทีกระจับปากเล็กก็ส่งเสียงพึมพำเหมือนกำลังทะเลาะกับตัวเองในความคิดจนเขาอดที่จะขำไม่ได้
แน่นอนว่าเด็กทุกคนย่อมเคยถูกสอนมาเหมือนๆกันว่าอย่ารับของหรือไปไหนมาไหนกับคนแปลกหน้า
และเผอิญว่าเซฮุนในตอนนี้ก็มีสถานะไม่ต่างไปจากคนแปลกหน้าเท่าไหร่นัก
“ปะ
เปล่านะฮะ ไม่ใช่แบบนั้น...” ปฏิเสธด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักเมื่อจู่ๆอีกฝ่ายก็เปิดประเด็นขึ้นมาอย่างกะทันหันราวกับว่าอ่านใจกันออก
เอาเข้าจริงแล้วลู่หานเองก็ไม่ได้มีความคิดในเชิงลบแบบนั้นเลยสักนิด
อย่างที่บอกว่าพี่ชายตัวสูงดูเป็นคนใจดี แถมตลอดทางเดินมาขึ้นรถยังมีแต่คนค้อมศีรษะให้อย่างเคารพนบนอบจนลู่หานทำตัวไม่ถูก
บางทีพี่ชายคนนี้อาจจะรู้จักกับคุณป๋าก็ได้
“งั้นก็แสดงว่าเรากลัวที่บ้านโกรธที่นั่งรถออกมากับคนแปลกหน้า...ใช่มั้ยครับ”
ร่างน้อยได้แต่พยักหน้าหงึกหงักเมื่อสิ่งที่พี่ชายตัวสูงพูดมานั้นมันถูกต้องทุกอย่าง
นัยน์ตากลมโตหลุบมองเจ้าเหมียวขี้อ้อนบนตักเล็กด้วยใบหน้าเซื่องซึมผิดจากปกติที่มักจะสดใสอยู่ตลอดเวลา
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยจริงๆที่ลู่หานขัดคำสั่งคุณป๋า
แม้จะไม่ได้ตั้งใจแต่กระนั้นก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี
ลู่หานก็แค่อยากพาเจ้าเหมียวไปหาคุณหมอ...
ฝ่ายรองประธานหนุ่มรูปหล่อควบด้วยตำแหน่งสารถีผู้ใจดีก็ได้แต่ลอบยิ้มให้กับท่าทางน่าเอ็นดูของพ่อตัวจ้อยอีกครั้งและอีกครั้งซึ่งนับว่าเป็นอะไรที่ดูจะผิดวิสัยของตัวเองไปมากพอสมควร
เดิมทีแล้วเซฮุนไม่ใช่คนยิ้มยากอะไรนัก แต่เขาเองก็ไม่เคยใช้รอยยิ้มพร่ำเพรื่อขนาดนี้มาก่อน
จะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีเลยก็ว่าได้
“อีกสองป้ายรถเมล์ก็ถึงคลินิกแล้ว”
แจ้งพิกัดของที่หมายเพื่อความสบายใจของอีกฝ่ายก่อนจะระบายยิ้มให้ร่างน้อยพร้อมทั้งเอ่ยประโยคที่เปรียบเสมือนสายฝนซึ่งเรียกเอาความสดใสในแววตาแสนไร้เดียงสาคู่นั้นกลับคืนมาได้อีกครั้ง
“พาเจ้าเหมียวไปหาคุณหมอเสร็จแล้วเราค่อยกลับกันเนอะ”
“...อื้อ”
พ่อตัวจ้อยขานรับในลำคอก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้กับพี่ชายตัวสูงที่ยังไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ
เซฮุนรู้สึกได้ว่าหัวใจของตัวเองทั้งพองโตและสูบฉีดเลือดได้ดีกว่าปกติเป็นทบเท่า ทั้งนี้อาจเป็นเพราะได้รับแรงกระตุ้นดีๆจากคนน่ารักที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับ...
เขารู้ดีว่าการที่จู่ๆก็พาลูกคนอื่นขึ้นรถออกมาด้วยกันแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอีกทั้งยังเสี่ยงต่อการโดนแจ้งจับในข้อหาพรากผู้เยาว์เอามากๆ น้องเป็นลูกมีพ่อมีแม่ และพวกท่านคงต้องไม่พอใจแน่ๆถ้ารู้ว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนนั่งรถออกมากับคนแปลกหน้าแบบนี้
แต่สาบานได้ว่าเซฮุนไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆกับน้องเลยจริงๆ
“ถึงแล้วครับ
เดี๋ยวเราพาเจ้าเหมียวลงไปก่อนนะ พี่จะวนรถไปจอดข้างๆ ยืนรอตรงนี้อย่าไปไหนนะครับ”
ร่างน้อยพยักหน้ารับอย่างว่านอนสอนง่ายก่อนจะเปิดประตูลงจากรถพร้อมๆกับเจ้าเหมียวในอ้อมแขนเล็ก
ยืนรออยู่หน้าคลินิกไม่ขยับตัวไปไหนตามคำสั่งกระทั่งห้านาทีผ่านไปอีกฝ่ายก็เดินกลับมาในชุดเดิมทว่าดูผ่อนคลายขึ้นด้วยเพราะถอดสูทสั่งตัดทิ้งไว้บนรถ
“เข้าไปข้างในกันครับ”
มือใหญ่จับจูงมือเล็กให้เดินตามกันเข้าไปในคลินิกสัตว์ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่
รองประธานหนุ่มจัดการกรอกข้อมูลคร่าวๆลงบนฟอร์มสำหรับเจ้าของสัตว์ก่อนจะเดินกลับมาทิ้งกายลงนั่งข้างๆเด็กน้อยในชุดเอี๊ยมที่กำลังลูบหน้าลูบคางให้เจ้าเหมียวแสนขี้อ้อนอย่างเอาอกเอาใจ
“วันนี้คนน้อย
อีกเดี๋ยวก็คงถึงคิวตรวจของเรา”
“ฮะ”
เสียงหวานขานรับสั้นๆในขณะที่นัยน์ตากลมโตยังคงให้ความสนใจอยู่กับจิตรกรรมฝาผนังลายการ์ตูน-อนิเมชั่นจากค่ายดังของคลินิกสัตว์บรรยากาศเป็นกันเองแห่งนี้
เซฮุนเคยมาใช้บริการที่นี่อยู่ครั้ง จำได้ว่าตอนนั้นลูกสุนัขที่เขาพามารักษามันพลัดหลงกับเจ้าของซ้ำยังโชคร้ายถูกสุนัขเจ้าถิ่นไล่กัดจนต้องมาหลบภัยอยู่หลังพุ่มไม้หน้าบริษัท
กว่าจะมีคนไปเจอก็เกือบแย่อยู่เหมือนกัน ไอ้จะให้ปล่อยไว้แบบนั้นก็ทำไม่ลง
สุดท้ายก็เลยตัดสินใจอุ้มมันไปขึ้นรถแล้วพามารักษาที่คลินิกเดียวกันนี้
เสียค่ายาค่าหมอนิดๆหน่อยๆแลกกับการได้ต่อลมหายใจให้หนึ่งชีวิต
เขาว่ามันก็คุ้มกันดี
“คุณโอ
เซฮุน เชิญที่ห้องตรวจค่ะ คุณหมอจัดเตียงไว้ให้น้องแล้ว”
ร่างสูงพยักหน้ารับคำเชิญของคุณผู้ช่วยสาวก่อนจะหันกลับมามองเด็กน้อยข้างกายที่กำลังใช้สายตากวาดมองไปรอบๆเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ
“ตัวเล็ก
ไปกันครับ ถึงคิวตรวจของเจ้าเหมียวแล้ว”
ฝ่ามือหนาทาบทับเบาๆลงบนหลังมือเล็ก
เป็นเหตุให้ร่างน้อยสะดุ้งหลุดจากห้วงแห่งภวังค์ก่อนที่แก้วตาหวานใสจะช้อนขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาด้วยแววตระหนกอย่างไร้เดียงสา
และก็เป็นอีกครั้งที่น้องเลือกที่จะพยักหน้าแทนการส่งเสียงใดๆออกมาจากริมฝีปากระเรื่อแดง
รองประธานหนุ่มเผยยิ้มบางๆให้กับท่าทีน่าเอ็นดูนั้นพลางกุมกระชับมือเล็กไว้อย่างแน่นหนาราวกับกลัวว่าพ่อตัวจ้อยจะหายไป
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับคุณหมอ”
ลู่หานมองผู้ใหญ่ทั้งสองที่กำลังกล่าวทักทายกันอย่างสุภาพก่อนจะสะดุ้งน้อยๆเมื่อเผลอไปสบตากับคุณหมอสาวสวยท่าทางใจดีเข้า
“สะ
สวัสดีครับ...” กระจับปากเล็กเอ่ยคำทักทายด้วยความประหม่า
หลายครั้งที่เผลอบีบมือใหญ่จนน่ากลัวว่าเล็บน้อยๆจะจิกลงบนผิวเนื้อสีแทนอ่อนๆของคนตัวสูง
แต่กระนั้นเซฮุนกลับไม่ได้สนใจ
เขายังคงปล่อยให้น้องบีบมืออยู่แบบนั้นกระทั่งเจ้าตัวเป็นฝ่ายคลายอาการเกร็งแล้วอ่อนแรงลงไปเอง
“สวัสดีจ้ะ”
สัตวแพทย์สาวยิ้มรับอย่างใจดี แว่นสายตากรอบเหลี่ยมบนใบหน้าอ่อนเยาว์ไม่อาจบดบังความงดงามของหญิงสาวได้เลยแม้นแต่น้อย
“ไม่ต้องกลัวน้า น้องเป็นอะไรมาบอกคุณหมอได้มั้ยคะ”
“เหมือนจะเป็นหวัดแล้วก็มีไข้นิดๆครับ”
แล้วก็เป็นผู้บริหารหนุ่มที่ตอบคำถามนั้นแทนร่างน้อยข้างกาย
ลู่หานกระชับกอดเจ้าเหมียวขี้อ้อนในอ้อมแขนเล็กก่อนจะก้าวออกไปด้านหน้าให้คุณหมอได้ดูอาการใกล้ๆอย่างรู้งาน
“เจ้าเหมียวตากฝนมาฮะ”
“ไหน~ ขอคุณหมอตรวจหน่อยนะคะ
เดี๋ยวคนเก่งวางน้องลงตรงนี้น้า”
ร่างน้อยปฏิบัติตามทำบอกกล่าวของคุณหมอโดยไม่มีท่าทีอิดออด
ก่อนนี้ลู่หานรู้สึกประหม่าเกร็งอย่างบอกไม่ถูก
ทั้งคุณหมอทั้งพี่ชายตัวสูงต่างก็เป็นคนแปลกหน้า
เขาไม่คุ้นชินกับสถานการณ์เช่นนี้เพราะปกติมีคุณป๋าคอยอยู่ข้างๆตลอด
ใครว่าเป็นเด็กนอกแล้วต้องกล้าได้กล้าเสีย
ลู่หานคนนึงล่ะที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น...
“อืม
ขนยังไม่แห้งเลย แต่จากที่ตรวจดูคร่าวๆแล้วน้องไม่ได้เป็นอะไรมาก มีไข้นิดๆ
ส่วนหวัดอาจจะเป็นมาก่อนหน้านี้แล้วเพราะน้ำมูกไหลไม่หยุดเลย”
“เจ้าเหมียวจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ยฮะ”
“ไม่จ้ะ
คุณหมอจะรักษาเจ้าเหมียวของเราให้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะคนเก่ง”
ฝ่ามือบางลูบปลอบเรือนผมสีอ่อนของเด็กชายตัวเล็กอย่างนึกเอ็นดูรักใคร่
ลองใครได้มาสัมผัสกับความไร้เดียงสาอันไร้ซึ่งการปรุงแต่งเช่นนี้เป็นได้หลงรักอย่างไม่ต้องสงสัย
“แมวน่ะไม่ถูกกับน้ำ
โดนแค่นิดๆหน่อยๆก็ต้องรีบเป่าให้แห้ง ไม่งั้นก็จะเป็นหวัดน้ำมูกไหลแบบนี้”
“งั้นแบบนี้ลู่ก็อาบน้ำให้เจ้าเหมียวไม่ได้เหรอฮะ”
“อาบได้จ้ะ
แต่ไม่ต้องบ่อยมาก สัก 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์กำลังดี
ช่วงแรกๆอาจจะลำบากสักหน่อยเพราะน้องอาจจะดื้อ แต่บ่อยเข้าเขาจะชินไปเอง”
“อ๋าาา~”
เห็นพ่อตัวจ้อยพยักหน้ารับทั้งแววตาใสแจ๋วแล้วคนมองก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้
กระทั่งคุณหมอสาวสวยแถมโสดสนิทอย่าง เบจูฮยอน ยังถึงกับต้องกลัดกลั้นความหมั่นเขี้ยวเอาไว้แล้วกรีดร้องอยู่ในใจครั้งแล้วครั้งเล่า
อยากจะตรงเข้าไปฟัดแก้มแดงๆนั่นสักครั้งแล้วถามเจ้าตัวเล็กให้หายสงสัยว่าตอนเด็กๆคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงดูหรือให้กินอะไรทำไมถึงได้โตมาน่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้
ถ้ามีลูกชาย
เธอก็อยากจะได้แบบนี้สักคน
แต่ก่อนอื่นเธอคงต้องหาสามีให้ได้เสียก่อน...ฮึก
Rrrrrrrrr~
แรงสั่นในกระเป๋ากางเกงสแล็คสีดำตัวสวยส่งผลให้ร่างสูงจำต้องล้วงมือเข้าไปหยิบสมาร์ทโฟนราคาแพงของตัวเองออกมาดู
ครั้นเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏอยู่บนจอแก้วขนาด 4.7 นิ้วเรียวคิ้วเข้มซึ่งพาดรับกับโครงหน้าอันหาที่ติได้ยากก็ถึงกับขมวดเข้าหากันด้วยความฉงนใจ
“เดี๋ยวผมขอตัวออกไปรับโทรศัพท์สักครู่นะครับ”
“ตามสบายเลยค่ะ”
คุณหมอสาวสวยตอบพลางมองตามการกระทำของร่างสูงด้วยสายตายิ้มๆ
ดูท่าว่าสุดหล่อมาดนักธุรกิจคนนี้จะทั้งห่วงและหวงน้องชายตัวเล็กน่าดู ขนาดจะรับโทรศัพท์ยังไม่วายหันมากำชับพ่อหนุ่มน้อยที่ยืนอยู่ข้างกายเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทว่าติดจะกังวลนิดๆ
“ตัวเล็กรออยู่กับคุณหมอก่อนนะครับ
เดี๋ยวพี่กลับมา”
“ฮะ”
กระทั่งเมื่อได้รับคำตอบจากเด็กน้อยที่ว่านอนสอนง่ายเซฮุนจึงหันไปยิ้มให้กับสัตวแพทย์สาวก่อนจะปลีกตัวออกมาด้านนอก
เรื่องเจ้าเหมียวปล่อยให้สาวๆเขาปรึกษากันไป เพราะดูเหมือนว่าตอนนี้เขาเองก็กำลังจะมีเรื่องให้จัดการเช่นกัน
ไม่บ่อยนักหรอกที่พี่ชายนอกไส้จะโทรมารบกวนเวลาส่วนตัวของเขา
โดยเฉพาะหลังจากตอนที่เขาเพิ่งอาละวาดในผู้บริหารในห้องประชุมไปหมาดๆ
“ว่าไงพี่คริส”
[เซฮุน! ลูกฉันอยู่กับแกหรือเปล่า!]
“เพ้อเจ้ออะไรของพี่เนี่ย ลูกพี่จะมาอยู่กับผมได้ยังไง
น้องยังไม่กลับจากอเมริกาเลยด้วยซ้ำ”
[ลู่หานกลับมาถึงตั้งแต่เมื่อเช้าเพราะเจ้าตัวแสบเปลี่ยนไฟลท์บินตั้งแต่สองวันก่อน
ฉันเองก็เพิ่งรู้เรื่องตอนที่ฮยอนอาโทรมาบอกว่าน้องนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้เกือบสามชั่วโมงแถมรั้นไม่ยอมกลับบ้าน
ส่งให้จงแดลงไปอยู่เป็นเพื่อนได้ไม่นานก็โดนไล่กลับขึ้นมาเพราะเจ้าตัวแสบได้เพื่อนใหม่เป็นแมวจรจัด
ไอ้ฉันก็ร้อนใจ อยากลุกออกจากห้องประชุมไปดูให้เห็นกับตาแต่ตำแหน่งประธานมันค้ำคอ]
ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังถูกหลอกด่า
รองประธานอย่างเขาคงไม่มีโอกาสได้มายืนหน้าสลอนอยู่ในคลินิกสัตว์แบบนี้หากว่าไม่ได้หนีการประชุมออกมา
อ่า...ไม่สิ เขาไม่ได้หนีการประชุมเสียหน่อย
ก็แค่ทนดูละครฉากใหญ่ที่นำแสดงโดยคณะผู้บริหารทั้งหลายไม่ไหวเลยต้องขอตัวออกมาก่อน
“ผมรู้นะว่าพี่เครียด
แต่ขอสั้นๆได้มั้ย”
[โอเค
เรื่องของแกไว้ค่อยว่ากันทีหลัง แต่ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่าลู่หานลูกชายฉันอยู่กับแกหรือเปล่า
มีพนักงานในบริษัทบอกว่าเห็นเจ้าตัวแสบนั่งรถออกไปกับแก]
“...ขอลักษณะคร่าวๆของน้องหน่อยได้มั้ยพี่”
[อะไรวะ
ไม่เจอกันแค่เจ็ดปีทำเป็นจำหลานตัวเองไม่ได้] ปลายสายเอ็ดคนเป็นน้องชายด้วยน้ำเสียงหน่ายๆ
[น้องตาโตๆ ผิวขาวๆ ผมสีน้ำตาล
ตัวเล็กเหมือนแม่ ที่สำคัญคือน่ารักมาก]
“...”
ตาโตๆ ผิวขาวๆ ผมสีน้ำตาล
ตัวเล็กเหมือนแม่
…ที่สำคัญคือน่ารักมาก…
ดะ เดี๋ยวนะ...
[เซฮุน! ไอ้ฮุนโว้ย! ตกลงว่ายังไง
ลู่หานอยู่กับแกหรือเปล่า!]
“อยู่พี่...น้องอยู่กับผม”
นี่เด็กคนนั้น...คือลู่หาน
หลานชายตัวน้อยๆของเขาเมื่อเจ็ดปีที่แล้วอย่างนั้นเหรอ!
[โธ่ไอ้น้องบ้า
แล้วก็ไม่โทรมาบอกกันสักคำ รู้มั้ยฉันตกใจแค่ไหนตอนที่ลงมาแล้วไม่เจอลู่หาน]
ท่านประธานวัย 35 ปีโวยวายน้องชายนอกไส้ของตัวเองเสียยกใหญ่
เซฮุนมันไม่มีวันเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อหรอก แค่ที่ปล่อยให้ลูกรอนานเป็นชั่วโมงเขาก็รู้สึกผิดจนแทบแย่
แล้วนี่จู่ๆเจ้าตัวซนยังมาหายไปอย่างไร้วี่แวว แบบนี้จะไม่ให้คุณพ่อเลี้ยงเดี๋ยวอย่างเขาตกใจได้ยังไง
โชคดีที่ตอนวิ่งไปดูกล้องวงจรปิดกับจงแดเขาเผอิญสวนทางกับพนักงานที่เห็นเหตุการณ์
ถึงได้รู้ว่าลู่หานขึ้นรถออกไปกับรองประธานมาดนิ่งที่พนักงานพากันยำเกรงทั้งบริษัท
[ไหนๆก็ได้เจอหลานแล้ว งั้นวันนี้ฉันฝากลู่หานไว้หน่อยละกันไอ้น้องชาย
พอดีว่ามีนัดกับลูกค้าตอนสามทุ่ม กลัวว่าถ้ากลับไปส่งเข้านอนไม่ทันแล้วตัวแสบจะงอน]
“ละ ล้อเล่นหรือเปล่าพี่ที่ว่าจะฝากลู่หานไว้กับผม จริงๆให้น้องกลับไปนอนที่บ้านก็...”
[นี่แกหวงคอนโดฯเหรอวะ?]
“เฮ้ย ไม่ใช่พี่ คือ...ผมกับลู่หานไม่เจอกันมาเจ็ดปีแล้วนะ จู่ๆพี่จะให้ผมพาน้องไปค้างด้วยมันไม่กะทันหันไปเหรอวะ”
[แกสนใจเรื่องนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่วะเซฮุน หรือเพราะลู่หานไม่ใช่พวกผู้หญิงที่แกพาขึ้นห้องด้วยทุกคืนก็เลยรู้สึกว่ามันกะทันหันขึ้นมา]
“ไปกันใหญ่แล้วพี่
มันไม่ใช่แบบนั้น...”
[งั้นฉันถือว่าแกตกลง]
“เฮ้ย เดี๋ยวดิพี่ ผมยังไม่...”
[ลู่หานชอบดื่มนมอุ่นๆก่อนนอน
น้องไม่ใช่เด็กเรื่องมาก แค่มีคนส่งเข้านอนแปปๆแกก็หลับแล้ว]
“...”
[ที่สำคัญคือลู่หานกลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า
บางคืนก็ละเมอคิดถึงแม่] ร่างสูงเงียบฟังและจดจำทุกคำบอกเล่าของพี่ชายที่ตนเองเคารพรักเสมือนคนในครอบครัว
[ถ้าลู่หานร้องไห้แกต้องกอดปลอบ
ลูบหลังเบาๆแล้วสักพักน้องจะนิ่งไปเอง]
“พี่คริส...”
[ฉันไว้ใจแกนะเซฮุน...ลู่หานเองก็คงเหมือนกัน
ไม่งั้นหลานไม่ยอมออกไปกับแกง่ายๆแบบนั้นหรอก]
“…”
[…]
“โอเคครับพี่...ผมจะดูแลลู่หานเอง
ไม่ต้องห่วง”
ให้ตายเถอะ...นี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่เขารู้สึกไม่ไว้ใจตัวเอง
ลั่นตอนตีสอง...ให้ตายเถอะซาร่า จะสอบอยู่อาทิตย์หน้าทำไมถึงยังทำนิสัยแบบนี้ ตบตีตัวเองด้วยความหมั่นไส้ หนังสือไม่รู้จักอ่าน ว่างเป็นปั่นฟิค TvT
เป็น SF นะคะ ไม่น่าจะยาวมาก #หรา ทีแรกว่าจะให้เป็นวันช็อตแต่แต่งไปแต่งมาเริ่มรู้ตัวว่าคงทำไม่ได้ เลยกะว่าจะต่อให้จบภายใน เอ่อ...ห้าตอนละกัน T w T จะลั่นอีกทีเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ใครใคร่ตามก็ตามนะคะ อันนี้รับปากไม่ได้จริมๆ
สกรีมให้คุณอาและหลานชายได้ที่แท็ก #คุณลู่แก้มแดง นะฮับ เลิ้บ ♥
ปล.สัญญาว่าจะมาต่อภาคแรกให้จบภายในปีนี้ค่ะ... #ไขว้นิ้ว #โดนตบ