วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

❀ LES FLEURS ❀ HUNHAN (INNOCENT PASSION II)




            Shanghai, China – 05:52 PM.
            KVW CORP.

            เม็ดฝนโปรยปรายจากฟ้าสู่ดิน ร่วมสามชั่วโมงแล้วที่ร่างบางผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนและนัยน์ตาสุกใสแสนไร้เดียงสาติดแหงกอยู่ในตึกสูงระฟ้า ลู่หาน  ถอนหายใจเป็นครั้งที่ห้า นอกจากแผนการเซอร์ไพรส์ คุณป๋า จะล้มเหลวไม่เป็นท่า ตัวเองยังต้องมานั่งเหงาเพราะติดฝนจนออกไปเดินเที่ยวที่ไหนไม่ได้อีกต่างหาก
                จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกมั้ยนะ
            ร่างน้อยคิดในใจ ยิ่งเมื่อเห็นไอน้ำที่พร่างพราวอยู่บนบานกระจกขนาดใหญ่แล้วก็ได้แต่ภาวนาขอให้ฝนหยุดตกเสียที อุตส่าห์คิดว่ากลับมาจากอเมริกาคราวนี้จะมีแต่เรื่องดีๆ ที่ไหนได้ดันโชคร้ายตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม
            “คุณหนู ทานของว่างหรือดื่มอะไรสักหน่อยดีมั้ยคะ คงอีกนานเลยกว่าท่านประธานจะประชุมเสร็จ”
            “อืม...ไม่ดีกว่าฮะ พอดีลู่พกคุกกี้นมสดติดกระเป๋ามาด้วย”
            เอ่ยปฏิเสธพนักงานสาวแผนกประชาสัมพันธ์อย่างมีมารยาทพลางส่งยิ้มที่ทำเอาคนมองใจสั่นกันถ้วนหน้าเป็นการปิดท้าย กระทั่งเวลาล่วงเลยจวนครบสองชั่วโมง ห่าฝนที่เคยเทกระหน่ำราวพายุเข้าก็ค่อยๆอ่อนกำลังลงทว่ายังคงไม่หยุดสร้างความชุ่มฉ่ำให้แก่พื้นดิน เช่นเดียวกันกับแสงสีส้มของพระอาทิตย์ดวงกลมที่เริ่มคล้อยไปจากขอบฟ้าด้วยเพราะหน้าที่ของมันกำลังจะจบลงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าแล้ว
            ทิ้งลู่หานกันหมดเลย ฮึก
            “คุณหนู กลับไปรอที่บ้านดีกว่ามั้ยครับ เดี๋ยวผมให้คนขับรถไปส่ง”
            คิม จงแด เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าแก้วตาดวงใจของเจ้านายกำลังสัปหงกอยู่กับกระเป๋าเป้ใบสีขาวครีมบนตักเล็ก ที่จริงเวลานี้เขาควรเป็นหนึ่งในบุคคลที่กำลังเคร่งเครียดกับหัวข้อสนทนาที่ว่าด้วยเรื่องงบประมาณและโปรดักส์ตัวใหม่ของบริษัทที่มีกำหนดการเปิดตัวปลายปีนี้ แต่พอท่านประธานทราบเรื่องจากฮยอนอา ประชาสัมพันธ์สาวสวยประจำบริษัทว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมานั่งรออยู่ที่ล็อบบี้เพราะมีแผนจะเซอร์ไพรส์ก็รีบบอกให้เขาลงมาดูเพราะไม่สามารถปลีกตัวออกมาเองได้ ไม่ใช่ว่าเห็นงานสำคัญกว่า แต่เพราะท่านรู้ดีว่าคุณหนูลู่หานไม่ใช่เด็กงี่เง่าเอาแต่ใจ
            “ไม่เอาฮะ ลู่จะกลับพร้อมคุณป๋า”
            ยกเว้นตอนที่เธอกำลังง่วง...
            “การประชุมคงใช้เวลาอีกนาน ท่านประธานไม่อยากให้คุณหนู...”
            “ถึงดึกลู่ก็จะรอ กลับไปตอนนี้ก็ต้องอยู่คนเดียว ลู่เหงา”
            เลขาหนุ่มลอบยิ้มให้กับอาการงอแงที่สุดแสนจะน่ารักน่าเอ็นดูของคุณหนูแก้มแดงก่อนจะยอบกายลงกระทั่งใบหน้าเสมอกับคนตัวเล็ก
            “งั้นไปหาอะไรทานที่คาเฟ่ต์ข้างๆบริษัทก่อนดีมั้ยครับ เดี๋ยวผมพาไป” ดูเหมือนว่าข้อเสนอนั้นจะน่าสนใจอยู่ไม่น้อย ร่างเล็กถึงได้ยอมเงยหน้าขึ้นมาจากกระเป๋าเป้แล้วกะพริบตามองคุณเลขาใจดีปริบๆ
            คุณหนูลู่หานของเขาเคยน่ารักยังไงก็ยังน่ารักอย่างนั้นไม่เคยเปลี่ยน สดใสร่าเริง จิตใจดี มีเมตตาแบะอ่อนต่อโลกจนบางทีก็น่าเป็นห่วงว่าจะถูกใครหลอกเอาได้ง่ายๆ
            “อ๊ะ คุณจงแด เดี๋ยวก่อนฮะ” แว่วเสียงใสเอ่ยรั้งคุณเลขาที่เดินนำอยู่ด้านหน้าพลางเพ่งพินิจมองสิ่งมีชีวิตตัวสีขาวที่นอนสั่นอยู่กลางลานกว้าง “นั่นลูกแมวนี่นา”
            “หืม ลูกแมวเหรอครับ?”
            “ขอยืมร่มของคุณจงแดหน่อยสิครับ”
            ร้องขอทั้งที่สายตาจะยังไม่ละออกไปจากเจ้าตัวขนที่กำลังนอนขดตัวอยู่ท่ามกลางสายฝน กระทั่งร่มสีแดงคันใหญ่ของคุณเลขาถูกส่งต่อให้ฝ่ามือบาง ร่างน้อยไม่รอช้ารีบวิ่งออกไปยังลานกว้างก่อนจะย่อตัวลงตรงหน้าลูกแมวตัวสีขาวที่กำลังหนาวสั่นอย่างน่าสงสาร
            “เจ้าเหมียว ทำไมมานอนตรงนี้ล่ะ”
            กระจับปากเล็กเอ่ยถามซ้ำยังทำหน้าสงสัยแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าคงไม่ได้คำตอบ นั่งสบตากันท่ามกลางเม็ดฝนที่กำลังโปรยปรายอย่างเบาบางอยู่อีกไม่นานร่างน้อยก็ตัดสินใจช้อนเจ้าเหมียวคนสีขาวแสนมอมแมมขึ้นในอ้อมแขนเล็ก กกกอดไว้กับแผ่นอกบางโดยไม่นึกรังเกียจคราบสกปรกบนขนที่อาจจะทำให้เสื้อเชิ้ตสีขาวราคาแพงของตัวเองเปรอะเปื้อน
            “คุณจงแด ลู่อยากได้ผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ที่ล็อบบี้บริษัทพอจะมีมั้ยครับ”
            “ถ้าเป็นผืนเล็กๆก็น่าจะมีนะครับ เอ่อ แล้วคุณหนูไม่ไปคาเฟ่ต์แล้วเหรอครับ”
            “ไม่ฮะ ลู่จะอยู่เช็ดตัวให้เจ้าเหมียวที่บริษัท คุณจงแดไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนนะฮะ กลับขึ้นไปประชุมได้เลย”
                เอ่ยกับคุณเลขาที่กำลังทำหน้างงเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบริษัทโดยไม่ลืมคืนร่มคันใหญ่สีแดงในมือให้ผู้เป็นเจ้าของ ร่างน้อยในชุดเอี๊ยมยีนส์ฟอกสีรับผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กมาจากคุณป้าแม่บ้านแล้วคลุมลงบนเจ้าเหมียวตัวเล็กบนตักอุ่นที่ถูกปูคลุมด้วยผ้าขนหนูอีกผืน
            “เดี๋ยวเช็ดตัวเสร็จแล้วกลับบ้านกับเรานะ เราจะเลี้ยงเจ้าเหมียวเอง”
            พูดพลางใช้ผ้านุ่มๆซับขนสีขาวที่เปียกลู่ตั้งแต่หูจรดหางสลับกับการเกาคางอย่างเอาอกเอาใจ เจ้าเหมียวดูเหนื่อยอ่อน ไม่หือไม่อือกับอะไรทั้งสิ้น จับตรงไหนก็นิ่งจนลู่หานเริ่มไม่แน่ใจว่าตกลงมันเชื่องหรือมันป่วยกันแน่ เอ...หรือบางทีอาจจะทั้งสอง?
            “เจ้าเหมียวป่วยแน่ๆเลย”
            “เหมี๊ยว”
          เจ้าเหมียวครางรับเสียงอ่อน เล่นเอาคนที่ทรุดนั่งอยู่บนพื้นพรมถึงกับหน้าถอดสี หันมองรอบกายไม่พบใครที่พอจะขอความช่วยเหลือได้ก็ลอบถอนหายใจพรืดด้วยเพราะคิดไม่ตก ลู่หานจะทำยังไงดี รู้แบบนี้บอกให้คุณจงแดอยู่เป็นเพื่อนเสียก็ดี
            แล้วแบบนี้ใครจะพาเจ้าเหมียวไปหาหมอล่ะ
            ลู่หานย้ายไปเรียนที่อเมริกาตั้งแต่ 7 ขวบ เพราะงั้นตอนนี้อย่าว่าแต่โรงพยาบาลหรือคลินิกสัตว์เลย แค่ทางกลับบ้านเขาก็ยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ 
            แย่แล้ว ฮึก
            “ตัวเล็ก”
            สุ้มเสียงเข้มที่เอ่ยเรียกใครสักคนด้วยสรรพนามน่ารักน่าเอ็นดูแว่วเข้าโสตประสาทของเด็กน้อยในชุดเอี๊ยมที่กำลังนั่งจุมปุ๊กอยู่บนพื้น แน่นอนว่าลู่หานไม่ได้สนใจ มือเล็กยังคงใช้ผ้าขนหนูขยี้ๆขนให้เจ้าเหมียวอยู่เช่นนั้นกระทั่งเงาสูงใหญ่ราวไททันเกราะคลืบคลานเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
            และลู่หานคงจะเมินผ่านมันไปหากว่าปลายรองเท้าหนังแก้วคู่สวยไม่หยุดนิ่งลงข้างตักเล็ก
            แก้วตาหวานช้อนมองเจ้าของเงาสีดำที่คลุมทับอยู่บนร่างของตัวเองด้วยใบหน้าฉงน
            “คุณเรียกเราเหรอ” กลีบปากสีระเรื่อเอ่ยถามคนตัวสูงด้วยสรรพนามที่สุดแสนจะขัดกัน
            ลู่หานชินกับการเรียกแทนตัวเองว่า เรา และติดปากกับการเรียกแทนคู่สนทนาว่า คุณ ถ้าสนิทกันในระดับหนึ่งจะเป็นคุณและตามด้วยชื่อ (เหมือนคุณเลขาจงแด) แต่ถ้ารู้จักเพียงผิวเผินก็คุณห้วนๆ
            “ครับ เรานั่นแหละ” คนแปลกหน้าตอบพลางระบายยิ้มในแบบที่ทำให้ร่างน้อยรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “ทำไมไม่ขึ้นมานั่งบนโซฟาดีๆล่ะครับ ลงไปนั่งบนพื้นทำไม”  
            “เจ้าเหมียวตัวเปียก เดี๋ยวโซฟาเลอะฮะ”
                “หืม เจ้าเหมียว?”
            เรียวคิ้วเข้มเลิกมองสิ่งมีชีวิตตัวเล็กบกตักเล็กที่กำลังซุกตัวอยู่ใต้ผ้าขนหนูผืนสีขาวก่อนจะครางรับในลำคอ ร่างสูงลอบมองเสี้ยวหน้าหวานละมุนของเด็กผู้ชายตัวเล็กที่ดูแล้วน่าจะยังอายุไม่ถึง 15 ปีดีก่อนจะแต้มยิ้มบางเบาบนริมฝีปาก
            ท่าทางกระตือรือร้นในการเช็ดตัวให้เจ้าลูกแมวจรจัดแบบนั้น...
            ...น่ารัก...       
            ในหัวของ เซฮุน รีเพลย์คำนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แววตาไร้เดียงสารวมถึงกระจับปากสีระเรื่อที่เปล่งเสียงหวานๆได้อย่างน่าเอ็นดูของร่างเล็กช่างเป็นอะไรที่สะกดสายตาและตรึงความประทับใจของเขาไว้ได้อย่างอยู่หมัดตั้งแต่แรกเห็น
            “เอ่อ...คุณฮะ”
            รองประธานหนุ่มสะดุ้งหลุดจากภวังค์เมื่อถูกเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนแสนน่ารักเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล นัยน์ตาสีนิลคู่คมมองสบกับแก้วตาหวานใสพลางเลิกคิ้วน้อยๆแทนการเอ่ยถาม
            “คุณพอจะรู้จักโรงพยาบาลหรือคลินิกสัตว์บ้างมั้ยฮะ”
           




            คุณป๋าเคยบอกว่าลู่หานเป็นเด็กดี ไม่ดื้อไม่ซน...
แล้วถ้าคุณป๋ารู้ว่าลู่หานนั่งรถออกมากับคนแปลกหน้า คุณป๋าจะโกรธแล้วกลายร่างเป็นยักษ์ไททันมั้ยนะ?
          ร่างน้อยได้แต่คิดทบทวนการกระทำของตัวเองด้วยความเป็นกังวลในขณะที่รถยนต์คันสวยยังคงติดแหงกอยู่ตรงแยกไฟแดงท่ามกลางสภาพจราจรที่ติดขัด นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มคู่สวยชำเลืองมองคนตัวสูงที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับสลับกับเจ้าเหมียวจรจัดบนตักเล็กพลางขมวดคิ้วมุ่นด้วยทั้งคิดไม่ตกและนึกโมโหตัวเองที่ทำอะไรโดยไม่ตัดสินใจให้รอบคอบดีเสียก่อน 
                แค่เพราะอีกฝ่ายดูท่าทางใจดี ลู่หานก็เลยไม่ลังเลที่จะขึ้นรถมาด้วยกันแบบนี้
            ลู่หานเป็นห่วงเจ้าเหมียวจนลืมคิดถึงความปลอดภัยของตัวเอง
            “พี่ดูไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
                แล้วก็เป็นคนตัวสูงที่เลือกจะทำลายความเงียบอันนำพามาซึ่งบรรยากาศน่าอึดอัดโดยการเอ่ยถามเด็กตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆกัน เซฮุนสังเกตมาได้สักพักแล้วว่าน้องดูเป็นกังวล บางทีกระจับปากเล็กก็ส่งเสียงพึมพำเหมือนกำลังทะเลาะกับตัวเองในความคิดจนเขาอดที่จะขำไม่ได้
            แน่นอนว่าเด็กทุกคนย่อมเคยถูกสอนมาเหมือนๆกันว่าอย่ารับของหรือไปไหนมาไหนกับคนแปลกหน้า
            และเผอิญว่าเซฮุนในตอนนี้ก็มีสถานะไม่ต่างไปจากคนแปลกหน้าเท่าไหร่นัก
            “ปะ เปล่านะฮะ ไม่ใช่แบบนั้น...” ปฏิเสธด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักเมื่อจู่ๆอีกฝ่ายก็เปิดประเด็นขึ้นมาอย่างกะทันหันราวกับว่าอ่านใจกันออก
                เอาเข้าจริงแล้วลู่หานเองก็ไม่ได้มีความคิดในเชิงลบแบบนั้นเลยสักนิด อย่างที่บอกว่าพี่ชายตัวสูงดูเป็นคนใจดี แถมตลอดทางเดินมาขึ้นรถยังมีแต่คนค้อมศีรษะให้อย่างเคารพนบนอบจนลู่หานทำตัวไม่ถูก
            บางทีพี่ชายคนนี้อาจจะรู้จักกับคุณป๋าก็ได้
            “งั้นก็แสดงว่าเรากลัวที่บ้านโกรธที่นั่งรถออกมากับคนแปลกหน้า...ใช่มั้ยครับ”
            ร่างน้อยได้แต่พยักหน้าหงึกหงักเมื่อสิ่งที่พี่ชายตัวสูงพูดมานั้นมันถูกต้องทุกอย่าง นัยน์ตากลมโตหลุบมองเจ้าเหมียวขี้อ้อนบนตักเล็กด้วยใบหน้าเซื่องซึมผิดจากปกติที่มักจะสดใสอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยจริงๆที่ลู่หานขัดคำสั่งคุณป๋า แม้จะไม่ได้ตั้งใจแต่กระนั้นก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี
                ลู่หานก็แค่อยากพาเจ้าเหมียวไปหาคุณหมอ...
            ฝ่ายรองประธานหนุ่มรูปหล่อควบด้วยตำแหน่งสารถีผู้ใจดีก็ได้แต่ลอบยิ้มให้กับท่าทางน่าเอ็นดูของพ่อตัวจ้อยอีกครั้งและอีกครั้งซึ่งนับว่าเป็นอะไรที่ดูจะผิดวิสัยของตัวเองไปมากพอสมควร เดิมทีแล้วเซฮุนไม่ใช่คนยิ้มยากอะไรนัก แต่เขาเองก็ไม่เคยใช้รอยยิ้มพร่ำเพรื่อขนาดนี้มาก่อน จะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีเลยก็ว่าได้
            “อีกสองป้ายรถเมล์ก็ถึงคลินิกแล้ว” แจ้งพิกัดของที่หมายเพื่อความสบายใจของอีกฝ่ายก่อนจะระบายยิ้มให้ร่างน้อยพร้อมทั้งเอ่ยประโยคที่เปรียบเสมือนสายฝนซึ่งเรียกเอาความสดใสในแววตาแสนไร้เดียงสาคู่นั้นกลับคืนมาได้อีกครั้ง “พาเจ้าเหมียวไปหาคุณหมอเสร็จแล้วเราค่อยกลับกันเนอะ”
            “...อื้อ”
            พ่อตัวจ้อยขานรับในลำคอก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้กับพี่ชายตัวสูงที่ยังไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ เซฮุนรู้สึกได้ว่าหัวใจของตัวเองทั้งพองโตและสูบฉีดเลือดได้ดีกว่าปกติเป็นทบเท่า ทั้งนี้อาจเป็นเพราะได้รับแรงกระตุ้นดีๆจากคนน่ารักที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับ...
                เขารู้ดีว่าการที่จู่ๆก็พาลูกคนอื่นขึ้นรถออกมาด้วยกันแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอีกทั้งยังเสี่ยงต่อการโดนแจ้งจับในข้อหาพรากผู้เยาว์เอามากๆ  น้องเป็นลูกมีพ่อมีแม่ และพวกท่านคงต้องไม่พอใจแน่ๆถ้ารู้ว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนนั่งรถออกมากับคนแปลกหน้าแบบนี้
            แต่สาบานได้ว่าเซฮุนไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆกับน้องเลยจริงๆ
            “ถึงแล้วครับ เดี๋ยวเราพาเจ้าเหมียวลงไปก่อนนะ พี่จะวนรถไปจอดข้างๆ ยืนรอตรงนี้อย่าไปไหนนะครับ”
            ร่างน้อยพยักหน้ารับอย่างว่านอนสอนง่ายก่อนจะเปิดประตูลงจากรถพร้อมๆกับเจ้าเหมียวในอ้อมแขนเล็ก ยืนรออยู่หน้าคลินิกไม่ขยับตัวไปไหนตามคำสั่งกระทั่งห้านาทีผ่านไปอีกฝ่ายก็เดินกลับมาในชุดเดิมทว่าดูผ่อนคลายขึ้นด้วยเพราะถอดสูทสั่งตัดทิ้งไว้บนรถ
            “เข้าไปข้างในกันครับ”
            มือใหญ่จับจูงมือเล็กให้เดินตามกันเข้าไปในคลินิกสัตว์ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ รองประธานหนุ่มจัดการกรอกข้อมูลคร่าวๆลงบนฟอร์มสำหรับเจ้าของสัตว์ก่อนจะเดินกลับมาทิ้งกายลงนั่งข้างๆเด็กน้อยในชุดเอี๊ยมที่กำลังลูบหน้าลูบคางให้เจ้าเหมียวแสนขี้อ้อนอย่างเอาอกเอาใจ
            “วันนี้คนน้อย อีกเดี๋ยวก็คงถึงคิวตรวจของเรา”
            “ฮะ”
            เสียงหวานขานรับสั้นๆในขณะที่นัยน์ตากลมโตยังคงให้ความสนใจอยู่กับจิตรกรรมฝาผนังลายการ์ตูน-อนิเมชั่นจากค่ายดังของคลินิกสัตว์บรรยากาศเป็นกันเองแห่งนี้ เซฮุนเคยมาใช้บริการที่นี่อยู่ครั้ง จำได้ว่าตอนนั้นลูกสุนัขที่เขาพามารักษามันพลัดหลงกับเจ้าของซ้ำยังโชคร้ายถูกสุนัขเจ้าถิ่นไล่กัดจนต้องมาหลบภัยอยู่หลังพุ่มไม้หน้าบริษัท กว่าจะมีคนไปเจอก็เกือบแย่อยู่เหมือนกัน ไอ้จะให้ปล่อยไว้แบบนั้นก็ทำไม่ลง สุดท้ายก็เลยตัดสินใจอุ้มมันไปขึ้นรถแล้วพามารักษาที่คลินิกเดียวกันนี้
            เสียค่ายาค่าหมอนิดๆหน่อยๆแลกกับการได้ต่อลมหายใจให้หนึ่งชีวิต เขาว่ามันก็คุ้มกันดี
            “คุณโอ เซฮุน เชิญที่ห้องตรวจค่ะ คุณหมอจัดเตียงไว้ให้น้องแล้ว”
            ร่างสูงพยักหน้ารับคำเชิญของคุณผู้ช่วยสาวก่อนจะหันกลับมามองเด็กน้อยข้างกายที่กำลังใช้สายตากวาดมองไปรอบๆเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ
            “ตัวเล็ก ไปกันครับ ถึงคิวตรวจของเจ้าเหมียวแล้ว”
            ฝ่ามือหนาทาบทับเบาๆลงบนหลังมือเล็ก เป็นเหตุให้ร่างน้อยสะดุ้งหลุดจากห้วงแห่งภวังค์ก่อนที่แก้วตาหวานใสจะช้อนขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาด้วยแววตระหนกอย่างไร้เดียงสา และก็เป็นอีกครั้งที่น้องเลือกที่จะพยักหน้าแทนการส่งเสียงใดๆออกมาจากริมฝีปากระเรื่อแดง
            รองประธานหนุ่มเผยยิ้มบางๆให้กับท่าทีน่าเอ็นดูนั้นพลางกุมกระชับมือเล็กไว้อย่างแน่นหนาราวกับกลัวว่าพ่อตัวจ้อยจะหายไป
            “สวัสดีค่ะ”
            “สวัสดีครับคุณหมอ”
            ลู่หานมองผู้ใหญ่ทั้งสองที่กำลังกล่าวทักทายกันอย่างสุภาพก่อนจะสะดุ้งน้อยๆเมื่อเผลอไปสบตากับคุณหมอสาวสวยท่าทางใจดีเข้า
            “สะ สวัสดีครับ...” กระจับปากเล็กเอ่ยคำทักทายด้วยความประหม่า หลายครั้งที่เผลอบีบมือใหญ่จนน่ากลัวว่าเล็บน้อยๆจะจิกลงบนผิวเนื้อสีแทนอ่อนๆของคนตัวสูง
            แต่กระนั้นเซฮุนกลับไม่ได้สนใจ เขายังคงปล่อยให้น้องบีบมืออยู่แบบนั้นกระทั่งเจ้าตัวเป็นฝ่ายคลายอาการเกร็งแล้วอ่อนแรงลงไปเอง
            “สวัสดีจ้ะ” สัตวแพทย์สาวยิ้มรับอย่างใจดี แว่นสายตากรอบเหลี่ยมบนใบหน้าอ่อนเยาว์ไม่อาจบดบังความงดงามของหญิงสาวได้เลยแม้นแต่น้อย “ไม่ต้องกลัวน้า น้องเป็นอะไรมาบอกคุณหมอได้มั้ยคะ”
            “เหมือนจะเป็นหวัดแล้วก็มีไข้นิดๆครับ”
            แล้วก็เป็นผู้บริหารหนุ่มที่ตอบคำถามนั้นแทนร่างน้อยข้างกาย ลู่หานกระชับกอดเจ้าเหมียวขี้อ้อนในอ้อมแขนเล็กก่อนจะก้าวออกไปด้านหน้าให้คุณหมอได้ดูอาการใกล้ๆอย่างรู้งาน
            “เจ้าเหมียวตากฝนมาฮะ”
            “ไหน~ ขอคุณหมอตรวจหน่อยนะคะ เดี๋ยวคนเก่งวางน้องลงตรงนี้น้า”
            ร่างน้อยปฏิบัติตามทำบอกกล่าวของคุณหมอโดยไม่มีท่าทีอิดออด ก่อนนี้ลู่หานรู้สึกประหม่าเกร็งอย่างบอกไม่ถูก ทั้งคุณหมอทั้งพี่ชายตัวสูงต่างก็เป็นคนแปลกหน้า เขาไม่คุ้นชินกับสถานการณ์เช่นนี้เพราะปกติมีคุณป๋าคอยอยู่ข้างๆตลอด
            ใครว่าเป็นเด็กนอกแล้วต้องกล้าได้กล้าเสีย
            ลู่หานคนนึงล่ะที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น...
            “อืม ขนยังไม่แห้งเลย แต่จากที่ตรวจดูคร่าวๆแล้วน้องไม่ได้เป็นอะไรมาก มีไข้นิดๆ ส่วนหวัดอาจจะเป็นมาก่อนหน้านี้แล้วเพราะน้ำมูกไหลไม่หยุดเลย”
            “เจ้าเหมียวจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ยฮะ”
            “ไม่จ้ะ คุณหมอจะรักษาเจ้าเหมียวของเราให้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะคนเก่ง” ฝ่ามือบางลูบปลอบเรือนผมสีอ่อนของเด็กชายตัวเล็กอย่างนึกเอ็นดูรักใคร่ ลองใครได้มาสัมผัสกับความไร้เดียงสาอันไร้ซึ่งการปรุงแต่งเช่นนี้เป็นได้หลงรักอย่างไม่ต้องสงสัย
            “แมวน่ะไม่ถูกกับน้ำ โดนแค่นิดๆหน่อยๆก็ต้องรีบเป่าให้แห้ง ไม่งั้นก็จะเป็นหวัดน้ำมูกไหลแบบนี้”
            “งั้นแบบนี้ลู่ก็อาบน้ำให้เจ้าเหมียวไม่ได้เหรอฮะ”
            “อาบได้จ้ะ แต่ไม่ต้องบ่อยมาก สัก 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์กำลังดี ช่วงแรกๆอาจจะลำบากสักหน่อยเพราะน้องอาจจะดื้อ แต่บ่อยเข้าเขาจะชินไปเอง”
            “อ๋าาา~”
            เห็นพ่อตัวจ้อยพยักหน้ารับทั้งแววตาใสแจ๋วแล้วคนมองก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ กระทั่งคุณหมอสาวสวยแถมโสดสนิทอย่าง เบจูฮยอน ยังถึงกับต้องกลัดกลั้นความหมั่นเขี้ยวเอาไว้แล้วกรีดร้องอยู่ในใจครั้งแล้วครั้งเล่า อยากจะตรงเข้าไปฟัดแก้มแดงๆนั่นสักครั้งแล้วถามเจ้าตัวเล็กให้หายสงสัยว่าตอนเด็กๆคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงดูหรือให้กินอะไรทำไมถึงได้โตมาน่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้ 
                ถ้ามีลูกชาย เธอก็อยากจะได้แบบนี้สักคน
            แต่ก่อนอื่นเธอคงต้องหาสามีให้ได้เสียก่อน...ฮึก
            Rrrrrrrrr~
            แรงสั่นในกระเป๋ากางเกงสแล็คสีดำตัวสวยส่งผลให้ร่างสูงจำต้องล้วงมือเข้าไปหยิบสมาร์ทโฟนราคาแพงของตัวเองออกมาดู ครั้นเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏอยู่บนจอแก้วขนาด 4.7 นิ้วเรียวคิ้วเข้มซึ่งพาดรับกับโครงหน้าอันหาที่ติได้ยากก็ถึงกับขมวดเข้าหากันด้วยความฉงนใจ
            “เดี๋ยวผมขอตัวออกไปรับโทรศัพท์สักครู่นะครับ”        
            “ตามสบายเลยค่ะ”
                คุณหมอสาวสวยตอบพลางมองตามการกระทำของร่างสูงด้วยสายตายิ้มๆ ดูท่าว่าสุดหล่อมาดนักธุรกิจคนนี้จะทั้งห่วงและหวงน้องชายตัวเล็กน่าดู ขนาดจะรับโทรศัพท์ยังไม่วายหันมากำชับพ่อหนุ่มน้อยที่ยืนอยู่ข้างกายเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทว่าติดจะกังวลนิดๆ
            “ตัวเล็กรออยู่กับคุณหมอก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่กลับมา”
            “ฮะ”
            กระทั่งเมื่อได้รับคำตอบจากเด็กน้อยที่ว่านอนสอนง่ายเซฮุนจึงหันไปยิ้มให้กับสัตวแพทย์สาวก่อนจะปลีกตัวออกมาด้านนอก เรื่องเจ้าเหมียวปล่อยให้สาวๆเขาปรึกษากันไป เพราะดูเหมือนว่าตอนนี้เขาเองก็กำลังจะมีเรื่องให้จัดการเช่นกัน
            ไม่บ่อยนักหรอกที่พี่ชายนอกไส้จะโทรมารบกวนเวลาส่วนตัวของเขา โดยเฉพาะหลังจากตอนที่เขาเพิ่งอาละวาดในผู้บริหารในห้องประชุมไปหมาดๆ
            “ว่าไงพี่คริส
            [เซฮุน! ลูกฉันอยู่กับแกหรือเปล่า!]
                เพ้อเจ้ออะไรของพี่เนี่ย ลูกพี่จะมาอยู่กับผมได้ยังไง น้องยังไม่กลับจากอเมริกาเลยด้วยซ้ำ”
            [ลู่หานกลับมาถึงตั้งแต่เมื่อเช้าเพราะเจ้าตัวแสบเปลี่ยนไฟลท์บินตั้งแต่สองวันก่อน ฉันเองก็เพิ่งรู้เรื่องตอนที่ฮยอนอาโทรมาบอกว่าน้องนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้เกือบสามชั่วโมงแถมรั้นไม่ยอมกลับบ้าน ส่งให้จงแดลงไปอยู่เป็นเพื่อนได้ไม่นานก็โดนไล่กลับขึ้นมาเพราะเจ้าตัวแสบได้เพื่อนใหม่เป็นแมวจรจัด ไอ้ฉันก็ร้อนใจ อยากลุกออกจากห้องประชุมไปดูให้เห็นกับตาแต่ตำแหน่งประธานมันค้ำคอ]
            ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังถูกหลอกด่า รองประธานอย่างเขาคงไม่มีโอกาสได้มายืนหน้าสลอนอยู่ในคลินิกสัตว์แบบนี้หากว่าไม่ได้หนีการประชุมออกมา อ่า...ไม่สิ เขาไม่ได้หนีการประชุมเสียหน่อย
            ก็แค่ทนดูละครฉากใหญ่ที่นำแสดงโดยคณะผู้บริหารทั้งหลายไม่ไหวเลยต้องขอตัวออกมาก่อน
            “ผมรู้นะว่าพี่เครียด แต่ขอสั้นๆได้มั้ย”
                [โอเค เรื่องของแกไว้ค่อยว่ากันทีหลัง แต่ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่าลู่หานลูกชายฉันอยู่กับแกหรือเปล่า มีพนักงานในบริษัทบอกว่าเห็นเจ้าตัวแสบนั่งรถออกไปกับแก]
                “...ขอลักษณะคร่าวๆของน้องหน่อยได้มั้ยพี่”
            [อะไรวะ ไม่เจอกันแค่เจ็ดปีทำเป็นจำหลานตัวเองไม่ได้] ปลายสายเอ็ดคนเป็นน้องชายด้วยน้ำเสียงหน่ายๆ [น้องตาโตๆ ผิวขาวๆ ผมสีน้ำตาล ตัวเล็กเหมือนแม่ ที่สำคัญคือน่ารักมาก]
                ...”
                ตาโตๆ ผิวขาวๆ ผมสีน้ำตาล ตัวเล็กเหมือนแม่
                …ที่สำคัญคือน่ารักมาก
                ดะ เดี๋ยวนะ...
            [เซฮุน! ไอ้ฮุนโว้ย! ตกลงว่ายังไง ลู่หานอยู่กับแกหรือเปล่า!]
                อยู่พี่...น้องอยู่กับผม”
            นี่เด็กคนนั้น...คือลู่หาน หลานชายตัวน้อยๆของเขาเมื่อเจ็ดปีที่แล้วอย่างนั้นเหรอ!
                [โธ่ไอ้น้องบ้า แล้วก็ไม่โทรมาบอกกันสักคำ รู้มั้ยฉันตกใจแค่ไหนตอนที่ลงมาแล้วไม่เจอลู่หาน]
                ท่านประธานวัย 35 ปีโวยวายน้องชายนอกไส้ของตัวเองเสียยกใหญ่ เซฮุนมันไม่มีวันเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อหรอก แค่ที่ปล่อยให้ลูกรอนานเป็นชั่วโมงเขาก็รู้สึกผิดจนแทบแย่ แล้วนี่จู่ๆเจ้าตัวซนยังมาหายไปอย่างไร้วี่แวว แบบนี้จะไม่ให้คุณพ่อเลี้ยงเดี๋ยวอย่างเขาตกใจได้ยังไง
โชคดีที่ตอนวิ่งไปดูกล้องวงจรปิดกับจงแดเขาเผอิญสวนทางกับพนักงานที่เห็นเหตุการณ์ ถึงได้รู้ว่าลู่หานขึ้นรถออกไปกับรองประธานมาดนิ่งที่พนักงานพากันยำเกรงทั้งบริษัท
[ไหนๆก็ได้เจอหลานแล้ว งั้นวันนี้ฉันฝากลู่หานไว้หน่อยละกันไอ้น้องชาย พอดีว่ามีนัดกับลูกค้าตอนสามทุ่ม กลัวว่าถ้ากลับไปส่งเข้านอนไม่ทันแล้วตัวแสบจะงอน]
“ละ ล้อเล่นหรือเปล่าพี่ที่ว่าจะฝากลู่หานไว้กับผม จริงๆให้น้องกลับไปนอนที่บ้านก็...”
[นี่แกหวงคอนโดฯเหรอวะ?]
“เฮ้ย ไม่ใช่พี่ คือ...ผมกับลู่หานไม่เจอกันมาเจ็ดปีแล้วนะ จู่ๆพี่จะให้ผมพาน้องไปค้างด้วยมันไม่กะทันหันไปเหรอวะ”
[แกสนใจเรื่องนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่วะเซฮุน หรือเพราะลู่หานไม่ใช่พวกผู้หญิงที่แกพาขึ้นห้องด้วยทุกคืนก็เลยรู้สึกว่ามันกะทันหันขึ้นมา]
                “ไปกันใหญ่แล้วพี่ มันไม่ใช่แบบนั้น...”
            [งั้นฉันถือว่าแกตกลง]
            เฮ้ย เดี๋ยวดิพี่ ผมยังไม่...”
            [ลู่หานชอบดื่มนมอุ่นๆก่อนนอน น้องไม่ใช่เด็กเรื่องมาก แค่มีคนส่งเข้านอนแปปๆแกก็หลับแล้ว]
            “...”
            [ที่สำคัญคือลู่หานกลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า บางคืนก็ละเมอคิดถึงแม่] ร่างสูงเงียบฟังและจดจำทุกคำบอกเล่าของพี่ชายที่ตนเองเคารพรักเสมือนคนในครอบครัว [ถ้าลู่หานร้องไห้แกต้องกอดปลอบ ลูบหลังเบาๆแล้วสักพักน้องจะนิ่งไปเอง]
                “พี่คริส...”
            [ฉันไว้ใจแกนะเซฮุน...ลู่หานเองก็คงเหมือนกัน ไม่งั้นหลานไม่ยอมออกไปกับแกง่ายๆแบบนั้นหรอก]
            “…”
          […]
            โอเคครับพี่...ผมจะดูแลลู่หานเอง ไม่ต้องห่วง” 
          ให้ตายเถอะ...นี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่เขารู้สึกไม่ไว้ใจตัวเอง







ลั่นตอนตีสอง...ให้ตายเถอะซาร่า จะสอบอยู่อาทิตย์หน้าทำไมถึงยังทำนิสัยแบบนี้ ตบตีตัวเองด้วยความหมั่นไส้  หนังสือไม่รู้จักอ่าน ว่างเป็นปั่นฟิค TvT 
เป็น SF นะคะ ไม่น่าจะยาวมาก #หรา ทีแรกว่าจะให้เป็นวันช็อตแต่แต่งไปแต่งมาเริ่มรู้ตัวว่าคงทำไม่ได้ เลยกะว่าจะต่อให้จบภายใน เอ่อ...ห้าตอนละกัน T w T จะลั่นอีกทีเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ใครใคร่ตามก็ตามนะคะ อันนี้รับปากไม่ได้จริมๆ 
สกรีมให้คุณอาและหลานชายได้ที่แท็ก #คุณลู่แก้มแดง นะฮับ เลิ้บ 
ปล.สัญญาว่าจะมาต่อภาคแรกให้จบภายในปีนี้ค่ะ... #ไขว้นิ้ว #โดนตบ